[แปลสัมภาษณ์] Open α Door อัลบั้มที่ 7 ของ Aimer ประตูสู่ยุคสมัยแห่งการเริ่มต้น

ในบทความนี้ Aimer จะมาพูดคุยถึงแนวคิดและเบื้องหลังของเพลงต่าง ๆ ในอัลบั้มที่เป็นเหมือนประตูเชื่อมสู่ “α” ยุคสมัยแห่งการเริ่มต้น และยังเปิดใจถึงการเปลี่ยนแปลงในฐานะศิลปินของเธอในหัวข้อ "สถานที่ของตัวเอง" และ "ทิวทัศน์ใหม่ ๆ" ที่ได้รับบนเส้นทางศิลปินในตลอดสิบปีที่ผ่านมา




หลังจากห่างหายไปนานถึง 2 ปี 3 เดือน ตั้งแต่อัลบั้ม『Walpurgis』ในที่สุด Aimer ก็ปล่อย Original Album ที่ 7『Open α Door』ออกมาให้รับฟังกันแล้ว โดยประกอบไปด้วยเพลงหลักต่าง ๆ ตั้งแต่「Zankyou Sanka」และ「Asa ga Kuru」ซึ่งเป็น OP/ED จาก Kimetsu no Yaiba : ดาบพิฆาตอสูร ภาคย่านเริงรมย์,「Deep down」ED จาก Chainsaw Man,「escalate」OP จาก NieR:Automata Ver1.1a และ「Atemonaku」ED จาก Ranking of Kings : The Treasure Chest of Courage ไม่เพียงเท่านั้น แต่ละเพลงในอัลบั้มนี้ยังอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกตอนที่ “เปิดบานประตูออกไป” เอาไว้เต็มเปี่ยม โดยในบทความนี้ Aimer จะให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเพลงใหม่ในอัลบั้มที่นอกเหนือจากเพลงที่กล่าวไปข้างต้นค่ะ

INTERVIEW & TEXT BY 森 朋之
แปลและเรียบเรียงโดย Phatnr


| การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยที่รู้สึกได้ในตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา และภารกิจต่อจากนี้

―หลังจาก『Open α Door』อัลบั้มใหม่ในรอบ 2 ปี 3 เดือนเสร็จสมบูรณ์แล้ว คุณ Aimer รู้สึกอย่างไรบ้างครับ?

Aimer : เป็นอัลบั้มที่ทิ้งช่วงไปนานทีเดียวค่ะ เราปล่อย『Walpurgis』ในเดือนเมษายนเมื่อสองปีที่แล้ว จากนั้นก็ปล่อยอีกหลายเพลงออกมา เริ่มตั้งแต่「Zankyou Sanka」ซึ่งเป็นเพลงโปรโมทในวาระครบรอบ 10 ปี ทั้งยังได้จัด Arena Tour เป็นครั้งแรกด้วย หลังจากวิ่งรอกอยู่หลายงาน ฉันก็สงบสติอารมณ์แล้วย้อนทบทวนสิ่งต่าง ๆ อย่างใจเย็น ก่อนจะลงมือโฟกัสกับการทำอัลบั้มนี้ค่ะ พอลองทำจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็รู้สึกว่าประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้เลยค่ะ


―มีพูดถึงความรู้สึกเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาด้วยไหมครับ?

Aimer : อืม… ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ฉันผ่านความรู้สึกมากมายทั้งสุขและเศร้า แต่ถ้าถามว่าอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คงเป็น ‘สถานที่สำหรับฉัน’ น่ะค่ะ คำว่า ‘สถานที่สำหรับฉัน’ หมายถึง การที่มีคนยอมรับและฟังเพลงที่ฉันแต่งขึ้นมาจากการลองผิดลองถูกไปทีละนิด เรียกว่าเป็นการที่ฉันสามารถสร้างความสัมพันธ์แบบนั้นขึ้นมาได้แล้ว ทำให้ฉันตระหนักอีกครั้งว่าในฐานะนักดนตรีคนหนึ่งแล้วเนี่ย การที่มีคนคอยติดตามเราอยู่เสมอมันเป็นอะไรที่มีความสุขมากเลยนะ ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาสถานที่ตรงนี้ของตัวเองเอาไว้ หรือจะรักษาสภาพตอนนี้ให้คงอยู่ต่อไป ในใจของฉันก็มีภารกิจที่อยากทำให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นไปกว่านี้อยู่ค่ะ  

―หมายความว่าหน้าที่ใหม่ถือกำเนิดขึ้นแล้วสินะครับ

Aimer : เป็นเรื่องยากเหมือนกันนะคะ แต่เพื่อการนั้นแล้ว ฉันจำเป็นต้องรู้สิ่งที่ตัวเองยังไม่เคยรู้เข้าไว้ เพื่อสถานที่ของฉันเองหรือคนที่ฟังเพลงของฉันก็ตาม ฉันต้องสัมผัสหลาย ๆ ประสบการณ์ ต้องลองเปิดประตูบานที่ไม่รู้จักออกไป เป็นความรู้สึกที่แรงกล้าที่สุดในการทำอัลบั้มนี้เลยค่ะ ลึก ๆ คนเราก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยอยู่ตลอดใช่ไหมคะ อย่างช่วงแรก ๆ ที่เดบิวต์เนี่ย ฉันเอาแต่หมกตัวแต่งเพลงอยู่ในห้อง โฟกัสแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น แต่ท่ามกลางเวลาที่ผ่านไปทุกปี ๆ ก็มีศิลปินอัจฉริยะเกิดใหม่มากมาย ธุรกิจแบบ Subscription ก็ได้รับความนิยมแพร่หลาย มีหลาย ๆ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น รวมถึงเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในสองสามปีที่ผ่านมาก็ด้วย AI เริ่มถูกนำมาใช้กับสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้บางครั้งฉันก็คิดว่าเหมือนเรากำลังก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ที่แตกต่างจากปัจจุบันนี้อย่างลิบลับเลยนะ การที่ฉันใช้ตัวอักษร “α” ในชื่อเพลงก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แหละค่ะ ตัว “α” หมายถึงแหล่งกำเนิดหรือการเริ่มต้นของทุกสิ่ง ซึ่งฉันคิดว่ามันเหมือนกับยุคสมัยนี้เลย

―มีทั้งความรู้สึกเหมือนกำลังเปิดประตูบานใหม่ และความรู้สึกว่ายุคสมัยใหม่กำลังจะเริ่มต้นแล้วสินะครับ แต่ละแทร็กในอัลบั้มเองก็ถ่ายทอดความรู้สึกที่แท้จริงของคุณ Aimer ออกมาได้อย่างดีเลย เริ่มตั้งแต่แทร็กแรกอย่าง 'Resonantia' เป็นเพลงจังหวะเร็วที่เมโลดี้เศร้าและหนักหน่วง

Aimer : ฉันอยากลองทำเพลงที่ตรงข้ามกับ Zankyou Sanka ดูน่ะค่ะ ซึ่ง Zankyou Sanka เนี่ยได้รับการตอบรับเกินกว่าที่คาดไว้เยอะเลย ทำให้ฉันรู้สึกว่ามีคนที่ชอบเพลงเร็วของฉันอยู่เยอะเหมือนกันแฮะ งั้นใส่เพลงแนวนี้ไปในอัลบั้มอีกสักเพลงดีกว่า คือระยะหลังมานี้ไลฟ์ของฉันจะมีช่วงที่แสดงเพลงสนุก ๆ ติดต่อกันให้ทุกคนได้ครื้นเครง ก็เลยอยากให้มีพาร์ทแบบนั้นในอัลบั้มบ้างน่ะค่ะ คำว่า “Resonantia” เป็นภาษาละตินหมายถึง “รู้สึกแบบเดียวกัน” สำหรับคนที่รู้จักฉันจาก Zankyou Sanka แน่นอนว่ารวมถึงคนที่ฟังเพลงฉันมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วด้วย ฉันทำเพลงนี้ขึ้นมาด้วยหวังว่าอยากให้ทุกคนรู้สึกแบบเดียวกับฉันอย่างนี้ต่อไปค่ะ


―ในอัลบั้มก็มี 'Asa ga Kuru' อีกเพลงที่ร้องให้ “Kimetsu no Yaiba : ดาบพิฆาตอสูร ย่านเริงรมย์” อยู่ด้วย ขอถามอีกครั้งนะครับว่าการได้ collab กับดาบพิฆาตอสูรในครั้งนี้มีความหมายอย่างไรต่ออาชีพของคุณ Aimer บ้างครับ? 

Aimer : “Aimer อ่านว่ายังไงนะ?” ช่วงแรก ๆ ที่เดบิวต์ ฉันได้รับคำถามนี้บ่อยมากค่ะ (หัวเราะ) แต่นั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าเพลงของตัวเองส่งถึงคนฟังมากมายทั้งจากหลายประเทศและหลายช่วงอายุเลยนะ ซึ่ง Zankyou Sanka ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้เปิดประตูบานที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และสามารถไปยืนแต่งเพลงอยู่ในโลกเบื้องหลังประตูบานนั้นได้ เป็นเพลงที่ส่งผลกับฉันในหลาย ๆ ความหมายเลยค่ะ

―ต่อมาเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลอย่าง 'Gunjouiro no Sora' ทำนองก็สื่อถึงความห่วงหาอาวรณ์ออกมาได้ดีมากเลย เพลงนี้มี Theme แบบไหนเหรอครับ?

Aimer : Gunjouiro no Sora เป็นเพลงที่ทำเสร็จท้ายสุดในอัลบั้มเลยค่ะ ตอนที่ลองเรียงแทร็กในอัลบั้มดู ฉันก็คิดขึ้นมาว่า “อยากให้มีเพลงบรรยากาศแบบนี้ด้วยจัง” ก็เลยทำซาวด์ให้ออกมาใกล้เคียงกับอิมเมจนั้นค่ะ สำหรับ Theme ของเพลงคือช่วงย่ำค่ำ คือยังมีแสงสว่างอยู่บ้าง แต่ก็เห็นแสงระยิบระยับของดวงดาวแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาเรายังไม่เคยมีเพลงที่พูดถึงจุดเปลี่ยนของเวลาแบบนี้มาก่อนเลยน่ะค่ะ

―ช่วงเวลาก้ำกึ่งตอนพระอาทิตย์ตกกับกลางคืน หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Magic Hour สินะครับ

Aimer : ฉันชอบช่วงเวลานั้นมากเลยค่ะ แต่ยังไม่เคยทำออกมาเป็นเพลงเลย ส่วนใหญ่จะร้องแต่เพลงกลางคืน หรือเพลงที่พูดถึงกลางดึกมากกว่า แต่ตอนเย็นเป็นช่วงที่ข่าวจะนำเสนอเหตุการณ์ของวันนั้น ๆ ใช่มั้ยคะ ปกติจะเป็นข่าวเศร้าซะส่วนใหญ่ ซึ่งฉันคิดมาตลอดว่า “ทำไมข่าวเศร้าถึงถูกเผยแพร่เร็วขนาดนี้กันนะ” แต่วันที่ไม่ใช่แบบนั้นก็มีอยู่ค่ะ การที่เรารู้สึกว่า “วันที่มีข่าวอบอุ่นเยอะ ๆ ก็มีเหมือนกันนี่นา” เป็นอะไรที่ตื้นตันใจมากเลยนะคะ แค่ไม่มีข่าวเศร้า ๆ เกิดขึ้น ก็ทำให้วันพรุ่งนี้ วันมะรืน และทุกวันหลังจากนี้ดูมีความหวังขึ้นมาได้เลย ฉันว่ามันเป็นอะไรที่มีค่ามากนะ ก็เลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมาด้วยรู้สึกว่าอยากแต่งเพลงให้กำลังใจผู้คนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ กับผู้คนที่กำลังเพียรพยายามเพื่อเป้าหมายของตนเองอยู่ค่ะ

| เพื่อรักษาสถานที่แห่งนี้ไว้ ฉันจำเป็นต้องรู้สิ่งต่าง ๆ ให้มากกว่านี้

―ในเพลง 'I know U know' (เพลงประกอบโฆษณา TOKYO CRAFT ของ Suntory) ได้ยินเสียงปรบมือด้วย เป็นเพลงที่น่าเอาไปร้องในไลฟ์มากเลยนะครับ


Aimer : ฉันแต่งเพลงนี้โดยคำนึงถึงไลฟ์โดยเฉพาะ กว่าฉันจะได้ร้องคอนเดี่ยวครั้งแรกก็หลายปีหลังจากเดบิวต์แล้ว ซึ่งถือว่าค่อนข้างช้าเลยค่ะ ตอนที่เริ่มคิดเรื่องสไตล์การไลฟ์ของตัวเองว่า “คงฟีลประมาณนี้ละมั้ง” จริง ๆ ก็เพิ่งจะระยะหลังมานี้เอง จากช่วงครบรอบ 10 ปีที่ได้ตะลอนทัวร์อันยาวนานก็ดี หรือได้แสดงอารีน่าทัวร์ก็ดี ฉันรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนที่มาชมไลฟ์มากกว่าเมื่อก่อนแล้ว ว่ามันไม่ใช่อะไรที่ซับซ้อนเลย แค่เหมือนเราตอนทุ่มกำลังกดบัตรไปไลฟ์นั่นแหละ ซึ่งฉันก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของฉันกับทุกคนที่สื่อถึงกันและกัน และเพลงที่ฉันแต่งขึ้นเพื่อให้ความรู้สึกนั้นเด่นชัดหนักแน่นมากขึ้นก็คือ ‘I know U know’ นั่นเองค่ะ


―รู้สึกสนุกกับการได้ยืนอยู่บนเวทีมากขึ้นไหมครับ?


Aimer : นั่นสินะคะ ช่วงแรกที่ฉันร้องเพลงอยู่แต่ในความมืด แม้คนมากมายจะมารวมตัวกันเพื่อชมไลฟ์ของฉัน แต่ฉันกลับไม่สามารถเชื่อมั่นในตัวเองได้จากใจจริงเลย มันเหมือนกับว่ากำลังถูกทดสอบ แล้วก็กังวลประมาณว่า “ถ้าผิดพลาดขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น?” แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วค่ะ อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าฉันรับรู้แล้วว่ามันมีสถานที่สำหรับฉันอยู่ การที่ฉันได้สบตากับทุกคนในสถานที่เดียวกันแบบเรียลไทม์และมีความรู้สึกร่วมไปพร้อมกัน สำหรับนักดนตรีแล้ว วินาทีนั้นเป็นอะไรที่ล้ำค่ามากเลยนะคะ เหมือนกับว่าแม้จะมีตัวเลือกมากมาย แต่เขาเลือกมาหาเรา เนื้อเพลงท่อนแรกของ I know U know ที่ร้องว่า “จากตัวเลือกมากมายนับไม่ถ้วน ฉันเลือกทิวทัศน์ที่แผ่กว้างตรงหน้า” ก็หมายถึงเรื่องนี้นั่นเองค่ะ


―สำหรับ 'spiral dance' เพลงแนว Electro Taste นี้น่าจะทำให้ไลฟ์ครึกครื้นได้มากเลยนะครับ !


Aimer : ใช่แล้วค่ะ ฉันคิดว่าถ้ามีเพลงจังหวะสุดเหวี่ยงให้เต้นได้ด้วยก็น่าจะดีนะ ในส่วนของเนื้อเพลง พอลองทอดสายตามองสิ่งต่าง ๆ บนโลกแล้ว ฉันรู้สึกว่าเหตุการณ์ร้าย ๆ ส่วนใหญ่เกิดจากการที่จุดต่าง ๆ (dots) อยู่ตรงโน้นทีตรงนี้ที หรือพอลากเส้นไปตามแต่ละจุดแล้วมันไม่บรรจบกัน ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวันไปจนถึงเรื่องระดับประเทศล้วนเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจากความเห็นต่างหรือความขัดแย้ง ใน spiral dance ฉันก็เลยร้องว่า “ทั้งจุดทั้งเส้นก็โยงให้มั่วไปหมดเลยแล้วกัน” (หัวเราะ)


― “ถึงจะบอกว่าก้าวข้ามทะเลน้ำตาเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่อย่างน้อยก็อยากให้มีความยินดีที่ส่องระยิบระยับโปรยปรายลงมา” เป็นเนื้อเพลงที่น่าประทับใจมากเลยครับ แม้จะมองตามความเป็นจริง แต่ก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป


Aimer : ขอบคุณค่ะ จะว่าไปก็จริงนะคะ เรื่องทุกข์หรือเรื่องเศร้าไม่มีทางหายไปจากโลกโดยสิ้นเชิง ตราบใดที่ยังหายใจอยู่ก็ต้องเผชิญเรื่องเศร้าใจอยู่แล้ว แต่ฉันอยากให้ทุกคนมาแชร์วินาทีนั้นด้วยกันในไลฟ์ ซึ่งฉันก็รู้สึกตื้นตันใจอยู่หลายต่อหลายครั้งที่ได้แสดงไลฟ์ครบรอบ 10 ปีเลยค่ะ




―มาถึงแทร็กสุดท้าย ‘SKYLIGHT’ รู้สึกว่าเพลงนี้ก็เป็นสัญลักษณ์ของอัลบั้มนี้เหมือนกันนะครับ


Aimer : ฉันคิดมาตั้งแต่ตอนทำเพลงนี้แล้วว่า “อยากให้เป็นแทร็กสุดท้ายจัง” โดยชื่อเพลง ‘SKYLIGHT’ แปลว่า “หน้าต่างบนหลังคา” เพราะฉะนั้นเพลงนี้จึงมีอิมเมจว่า “เงยหน้ามองแสงสว่างที่ส่องเข้ามาจากบานหน้าต่างใกล้ ๆ เพดาน” ซึ่งฉันคิดว่ามันเหมือนกับตัวฉันเองเลยค่ะ ไม่ใช่ในความหมายว่า “เปิดประตูผ่างแล้วก้าวฉับ ๆ ออกไป” แต่เป็นความรู้สึกว่าฉันกับคนที่มาฟังเพลงของฉันสัมผัสบานประตูแล้วลองเปิดมันออกไปพร้อมกันค่ะ ซึ่งภาพที่เราค่อย ๆ แง้มมองทิวทัศน์เบื้องหลังประตูนั้นคงเป็นหน้าที่ของอัลบั้มนี้นั่นเองค่ะ 'SKYLIGHT' ไม่ใช่เพลงที่พูดถึงเรื่องอนาคตออกมาอย่างชัดเจน แล้วก็ไม่ใช่บทสรุปของ 10 ปีที่ผ่านมาด้วย แต่เป็นความรู้สึกยามจ้องมองบานหน้าต่างที่แสงสว่างสาดส่อง ซึ่งฉันเคยอยากลองหยิบเอาจังหวะหัวใจหรือความตื่นเต้นในวินาทีนั้นออกมาดู จึงเลือกใส่เพลงนี้ไว้เป็นแทร็กสุดท้ายในอัลบั้มค่ะ


―อย่างนี้นี่เอง เป็นอัลบั้มที่มีดนตรีหลากหลายแนว อีกทั้งโวคอลยังมีหลากหลายอารมณ์ด้วย สำหรับตัวคุณ Aimer เองรู้สึกอย่างไรบ้างครับ?


Aimer : ตอนที่ได้ปล่อย Walpurgis ซึ่งเป็นอัลบั้มที่แล้วออกมา ฉันรู้สึกว่าเริ่มมองเห็นวิธีการร้องเพลงของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ แบบว่า “ถ้าร้องแบบนี้ดูเป็น Aimer ดีแฮะ” จากนั้นฉันก็ลองร้องเพลงด้วยวิธีการร้องหลาย ๆ แบบดู ทั้งเพลงที่อัดแล้วก็ในไลฟ์เลย ฉันทดลองหลาย ๆ แนวทางด้วยตัวเอง รวมถึงแนวทางที่เคยกลัวจนทำไม่ได้สักทีด้วยค่ะ ซึ่งการทำอัลบั้มในครั้งนี้ทำให้ฉันได้นำแนวทางที่ตัวฉันในปัจจุบันเท่านั้นที่จะทำได้มาปรับใช้เป็นเสียงร้องใหม่ของตัวเอง ด้านตัวเพลงเองก็ทำให้รู้สึกเหมือนได้เปิดประตูบานใหม่เลยค่ะ


―ตอนนี้ก็ยังค้นหาแนวทางในร้องเพลงอยู่หรือเปล่าครับ?


Aimer : ยังหาอยู่ค่ะ พอจินตนาการถึง 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้าแล้วก็รู้สึกว่าถ้าตัวเองในปัจจุบันมีวิธีการร้องเพลงที่เสมอต้นเสมอปลายก็คงน่าเบื่อแย่ ฉันเลยอยากจะคอยอัพเดตแนวทางของตัวเองอยู่เสมอน่ะค่ะ


―ขอถามเกี่ยวกับไลฟ์ฉลองครบรอบ 10 ปี「Aimer 10th Anniversary Final “Cycle de 10 ans”」(ตุลาคม 2022 / OSAKA-JO HALL) ที่บันทึกลงอัลบั้มเวอร์ชั่น Limited Edition หน่อยนะครับ เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว ไลฟ์เป็นอย่างไรบ้างครับ?


Aimer : ฉันทุ่มสุดตัวให้กับทุกไลฟ์เสมอ แต่ไลฟ์นี้ให้ความรู้สึกที่พิเศษกว่าเดิมค่ะ ก่อนอื่นเลยคือเป็นครั้งแรกที่ฉันได้มายืนบนเวทีของ OSAKA-JO HALL ในฐานะไลฟ์เดี่ยว แล้วก็เป็น Arena Tour ครั้งแรกด้วย เสียงที่ดังก้องในฮอลให้ความรู้สึกสดใหม่มาก ๆ ค่ะว่า “เพลงของตัวเองกับเสียงร้องที่เปล่งออกมาจากลำคอตัวเองมันได้ยินเป็นแบบนี้เองสินะ” อีกทั้งยังได้รู้ว่าเพลงที่ฉันเคยเอาแต่หมกตัวร้องอยู่ในห้องมาตลอดมันส่งถึงผู้คนมากมายขนาดนี้ และสามารถแชร์ความรู้สึกกับทุกคนได้แบบนี้ ย้อนกลับไปเรื่อง “สถานที่สำหรับฉัน” ที่ได้พูดถึงไปแล้วว่า “เพื่อรักษาสถานที่แห่งนี้ไว้ ฉันจำเป็นต้องรู้เรื่องต่าง ๆ ให้มากกว่านี้” เป็นไลฟ์แบบนั้นเลยค่ะ





―เป็นผลงานที่สื่อว่าเราผ่านปีที่ 10 มาจนถึงอัลบั้ม『Open α Door』ที่จะนำไปสู่อนาคตข้างหน้าสินะครับ


Aimer : ใช่แล้วค่ะ ฉันสร้างเสียงดนตรีมาเป็นระยะเวลา 10 กว่าปี และตอนนี้ก็รู้สึกว่ายังไงจุดที่มีความเป็นมนุษย์ของฉันก็จะสะท้อนออกมาเป็นเสียงดนตรีอยู่ดี ไม่ใช่แค่ถ้อยคำในเนื้อเพลง แต่ในส่วนของภาพรวมผลงาน หรือ Live Performance ก็จะสะท้อนตัวตนของฉันออกมาเสมอ ซึ่งฉันรู้สึกว่าตัวเองต้องรู้สิ่งต่าง ๆ และผ่านประสบการณ์ให้มากกว่าสมัยก่อนเดบิวต์และก่อนที่จะมาเดินบนเส้นทางนี้อีกเยอะเลยค่ะ


―ยอดเยี่ยมมากเลยครับ ว่าแต่คุณ Aimer เป็นไทป์ที่กระตือรือร้นจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนอยู่แล้วหรือครับ?


Aimer : ถ้าอยู่ในโหมดนั้นจะกระตือรือร้นมากเลยค่ะ แล้วก็จะออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย ๆ แต่ปกติแล้วจะอยู่แต่บ้านค่ะ (หัวเราะ)



0 Comments