[แปลสัมภาษณ์] Open α Door อัลบั้มที่ 7 ของ Aimer ประตูสู่ยุคสมัยแห่งการเริ่มต้น
| การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยที่รู้สึกได้ในตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา และภารกิจต่อจากนี้
| เพื่อรักษาสถานที่แห่งนี้ไว้ ฉันจำเป็นต้องรู้สิ่งต่าง ๆ ให้มากกว่านี้
―ในเพลง 'I know U know' (เพลงประกอบโฆษณา TOKYO CRAFT ของ Suntory) ได้ยินเสียงปรบมือด้วย เป็นเพลงที่น่าเอาไปร้องในไลฟ์มากเลยนะครับ
Aimer : ฉันแต่งเพลงนี้โดยคำนึงถึงไลฟ์โดยเฉพาะ กว่าฉันจะได้ร้องคอนเดี่ยวครั้งแรกก็หลายปีหลังจากเดบิวต์แล้ว ซึ่งถือว่าค่อนข้างช้าเลยค่ะ ตอนที่เริ่มคิดเรื่องสไตล์การไลฟ์ของตัวเองว่า “คงฟีลประมาณนี้ละมั้ง” จริง ๆ ก็เพิ่งจะระยะหลังมานี้เอง จากช่วงครบรอบ 10 ปีที่ได้ตะลอนทัวร์อันยาวนานก็ดี หรือได้แสดงอารีน่าทัวร์ก็ดี ฉันรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนที่มาชมไลฟ์มากกว่าเมื่อก่อนแล้ว ว่ามันไม่ใช่อะไรที่ซับซ้อนเลย แค่เหมือนเราตอนทุ่มกำลังกดบัตรไปไลฟ์นั่นแหละ ซึ่งฉันก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของฉันกับทุกคนที่สื่อถึงกันและกัน และเพลงที่ฉันแต่งขึ้นเพื่อให้ความรู้สึกนั้นเด่นชัดหนักแน่นมากขึ้นก็คือ ‘I know U know’ นั่นเองค่ะ
―รู้สึกสนุกกับการได้ยืนอยู่บนเวทีมากขึ้นไหมครับ?
Aimer : นั่นสินะคะ ช่วงแรกที่ฉันร้องเพลงอยู่แต่ในความมืด แม้คนมากมายจะมารวมตัวกันเพื่อชมไลฟ์ของฉัน แต่ฉันกลับไม่สามารถเชื่อมั่นในตัวเองได้จากใจจริงเลย มันเหมือนกับว่ากำลังถูกทดสอบ แล้วก็กังวลประมาณว่า “ถ้าผิดพลาดขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น?” แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วค่ะ อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าฉันรับรู้แล้วว่ามันมีสถานที่สำหรับฉันอยู่ การที่ฉันได้สบตากับทุกคนในสถานที่เดียวกันแบบเรียลไทม์และมีความรู้สึกร่วมไปพร้อมกัน สำหรับนักดนตรีแล้ว วินาทีนั้นเป็นอะไรที่ล้ำค่ามากเลยนะคะ เหมือนกับว่าแม้จะมีตัวเลือกมากมาย แต่เขาเลือกมาหาเรา เนื้อเพลงท่อนแรกของ I know U know ที่ร้องว่า “จากตัวเลือกมากมายนับไม่ถ้วน ฉันเลือกทิวทัศน์ที่แผ่กว้างตรงหน้า” ก็หมายถึงเรื่องนี้นั่นเองค่ะ
―สำหรับ 'spiral dance' เพลงแนว Electro Taste นี้น่าจะทำให้ไลฟ์ครึกครื้นได้มากเลยนะครับ !
Aimer : ใช่แล้วค่ะ ฉันคิดว่าถ้ามีเพลงจังหวะสุดเหวี่ยงให้เต้นได้ด้วยก็น่าจะดีนะ ในส่วนของเนื้อเพลง พอลองทอดสายตามองสิ่งต่าง ๆ บนโลกแล้ว ฉันรู้สึกว่าเหตุการณ์ร้าย ๆ ส่วนใหญ่เกิดจากการที่จุดต่าง ๆ (dots) อยู่ตรงโน้นทีตรงนี้ที หรือพอลากเส้นไปตามแต่ละจุดแล้วมันไม่บรรจบกัน ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวันไปจนถึงเรื่องระดับประเทศล้วนเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจากความเห็นต่างหรือความขัดแย้ง ใน spiral dance ฉันก็เลยร้องว่า “ทั้งจุดทั้งเส้นก็โยงให้มั่วไปหมดเลยแล้วกัน” (หัวเราะ)
― “ถึงจะบอกว่าก้าวข้ามทะเลน้ำตาเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่อย่างน้อยก็อยากให้มีความยินดีที่ส่องระยิบระยับโปรยปรายลงมา” เป็นเนื้อเพลงที่น่าประทับใจมากเลยครับ แม้จะมองตามความเป็นจริง แต่ก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป
Aimer : ขอบคุณค่ะ จะว่าไปก็จริงนะคะ เรื่องทุกข์หรือเรื่องเศร้าไม่มีทางหายไปจากโลกโดยสิ้นเชิง ตราบใดที่ยังหายใจอยู่ก็ต้องเผชิญเรื่องเศร้าใจอยู่แล้ว แต่ฉันอยากให้ทุกคนมาแชร์วินาทีนั้นด้วยกันในไลฟ์ ซึ่งฉันก็รู้สึกตื้นตันใจอยู่หลายต่อหลายครั้งที่ได้แสดงไลฟ์ครบรอบ 10 ปีเลยค่ะ
Aimer : ฉันคิดมาตั้งแต่ตอนทำเพลงนี้แล้วว่า “อยากให้เป็นแทร็กสุดท้ายจัง” โดยชื่อเพลง ‘SKYLIGHT’ แปลว่า “หน้าต่างบนหลังคา” เพราะฉะนั้นเพลงนี้จึงมีอิมเมจว่า “เงยหน้ามองแสงสว่างที่ส่องเข้ามาจากบานหน้าต่างใกล้ ๆ เพดาน” ซึ่งฉันคิดว่ามันเหมือนกับตัวฉันเองเลยค่ะ ไม่ใช่ในความหมายว่า “เปิดประตูผ่างแล้วก้าวฉับ ๆ ออกไป” แต่เป็นความรู้สึกว่าฉันกับคนที่มาฟังเพลงของฉันสัมผัสบานประตูแล้วลองเปิดมันออกไปพร้อมกันค่ะ ซึ่งภาพที่เราค่อย ๆ แง้มมองทิวทัศน์เบื้องหลังประตูนั้นคงเป็นหน้าที่ของอัลบั้มนี้นั่นเองค่ะ 'SKYLIGHT' ไม่ใช่เพลงที่พูดถึงเรื่องอนาคตออกมาอย่างชัดเจน แล้วก็ไม่ใช่บทสรุปของ 10 ปีที่ผ่านมาด้วย แต่เป็นความรู้สึกยามจ้องมองบานหน้าต่างที่แสงสว่างสาดส่อง ซึ่งฉันเคยอยากลองหยิบเอาจังหวะหัวใจหรือความตื่นเต้นในวินาทีนั้นออกมาดู จึงเลือกใส่เพลงนี้ไว้เป็นแทร็กสุดท้ายในอัลบั้มค่ะ
―อย่างนี้นี่เอง เป็นอัลบั้มที่มีดนตรีหลากหลายแนว อีกทั้งโวคอลยังมีหลากหลายอารมณ์ด้วย สำหรับตัวคุณ Aimer เองรู้สึกอย่างไรบ้างครับ?
Aimer : ตอนที่ได้ปล่อย Walpurgis ซึ่งเป็นอัลบั้มที่แล้วออกมา ฉันรู้สึกว่าเริ่มมองเห็นวิธีการร้องเพลงของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ แบบว่า “ถ้าร้องแบบนี้ดูเป็น Aimer ดีแฮะ” จากนั้นฉันก็ลองร้องเพลงด้วยวิธีการร้องหลาย ๆ แบบดู ทั้งเพลงที่อัดแล้วก็ในไลฟ์เลย ฉันทดลองหลาย ๆ แนวทางด้วยตัวเอง รวมถึงแนวทางที่เคยกลัวจนทำไม่ได้สักทีด้วยค่ะ ซึ่งการทำอัลบั้มในครั้งนี้ทำให้ฉันได้นำแนวทางที่ตัวฉันในปัจจุบันเท่านั้นที่จะทำได้มาปรับใช้เป็นเสียงร้องใหม่ของตัวเอง ด้านตัวเพลงเองก็ทำให้รู้สึกเหมือนได้เปิดประตูบานใหม่เลยค่ะ
―ตอนนี้ก็ยังค้นหาแนวทางในร้องเพลงอยู่หรือเปล่าครับ?
Aimer : ยังหาอยู่ค่ะ พอจินตนาการถึง 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้าแล้วก็รู้สึกว่าถ้าตัวเองในปัจจุบันมีวิธีการร้องเพลงที่เสมอต้นเสมอปลายก็คงน่าเบื่อแย่ ฉันเลยอยากจะคอยอัพเดตแนวทางของตัวเองอยู่เสมอน่ะค่ะ
―ขอถามเกี่ยวกับไลฟ์ฉลองครบรอบ 10 ปี「Aimer 10th Anniversary Final “Cycle de 10 ans”」(ตุลาคม 2022 / OSAKA-JO HALL) ที่บันทึกลงอัลบั้มเวอร์ชั่น Limited Edition หน่อยนะครับ เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว ไลฟ์เป็นอย่างไรบ้างครับ?
Aimer : ฉันทุ่มสุดตัวให้กับทุกไลฟ์เสมอ แต่ไลฟ์นี้ให้ความรู้สึกที่พิเศษกว่าเดิมค่ะ ก่อนอื่นเลยคือเป็นครั้งแรกที่ฉันได้มายืนบนเวทีของ OSAKA-JO HALL ในฐานะไลฟ์เดี่ยว แล้วก็เป็น Arena Tour ครั้งแรกด้วย เสียงที่ดังก้องในฮอลให้ความรู้สึกสดใหม่มาก ๆ ค่ะว่า “เพลงของตัวเองกับเสียงร้องที่เปล่งออกมาจากลำคอตัวเองมันได้ยินเป็นแบบนี้เองสินะ” อีกทั้งยังได้รู้ว่าเพลงที่ฉันเคยเอาแต่หมกตัวร้องอยู่ในห้องมาตลอดมันส่งถึงผู้คนมากมายขนาดนี้ และสามารถแชร์ความรู้สึกกับทุกคนได้แบบนี้ ย้อนกลับไปเรื่อง “สถานที่สำหรับฉัน” ที่ได้พูดถึงไปแล้วว่า “เพื่อรักษาสถานที่แห่งนี้ไว้ ฉันจำเป็นต้องรู้เรื่องต่าง ๆ ให้มากกว่านี้” เป็นไลฟ์แบบนั้นเลยค่ะ
―เป็นผลงานที่สื่อว่าเราผ่านปีที่ 10 มาจนถึงอัลบั้ม『Open α Door』ที่จะนำไปสู่อนาคตข้างหน้าสินะครับ
Aimer : ใช่แล้วค่ะ ฉันสร้างเสียงดนตรีมาเป็นระยะเวลา 10 กว่าปี และตอนนี้ก็รู้สึกว่ายังไงจุดที่มีความเป็นมนุษย์ของฉันก็จะสะท้อนออกมาเป็นเสียงดนตรีอยู่ดี ไม่ใช่แค่ถ้อยคำในเนื้อเพลง แต่ในส่วนของภาพรวมผลงาน หรือ Live Performance ก็จะสะท้อนตัวตนของฉันออกมาเสมอ ซึ่งฉันรู้สึกว่าตัวเองต้องรู้สิ่งต่าง ๆ และผ่านประสบการณ์ให้มากกว่าสมัยก่อนเดบิวต์และก่อนที่จะมาเดินบนเส้นทางนี้อีกเยอะเลยค่ะ
―ยอดเยี่ยมมากเลยครับ ว่าแต่คุณ Aimer เป็นไทป์ที่กระตือรือร้นจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนอยู่แล้วหรือครับ?
Aimer : ถ้าอยู่ในโหมดนั้นจะกระตือรือร้นมากเลยค่ะ แล้วก็จะออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย ๆ แต่ปกติแล้วจะอยู่แต่บ้านค่ะ (หัวเราะ)
0 Comments